รู้สึกว่าถูกเอาเปรียบ รู้สึกว่าอีกฝ่ายผิดสัญญางานก่อสร้าง แต่... ถ้าฟ้องร้องกันขึ้นโรงขึ้นศาลจะคุ้มไหม... คำถามคาใจที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ในงานก่อสร้าง
ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับงานก่อสร้างมีเกิดขึ้นให้เราได้พบได้เห็นกันอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น “ผู้รับเหมา รับเงินแล้วไม่มาทำงาน” , “เจ้าบ้านให้ก่อสร้างแล้วไม่ยอมจ่ายเงิน” , “ผู้รับเหมาใช้วัสดุคุณภาพต่ำ” , “เจ้าของบ้านบีบเอาราคาถูกๆ” , “งานไม่ได้ตามที่ตกลงกันไว้” , “เงินไม่จ่ายตามงวดเวลาตามกำหนดเวลา” และยังมีเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย... แต่หากจะพิจารณากันให้เป็นกลุ่มเป็นก้อนของปัญหา ก็ดูเหมือนว่าปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในงานก่อสร้าง เป็นเรื่องการทำผิดสัญญาที่ให้ไว้ต่อกันในงานก่อสร้างนั่นเอง และเรื่องนี้ตามมาด้วยความไม่พอใจของฝ่ายที่รู้สึกว่าเสียเปรียบ และหนึ่งในวิธีการที่ทำได้ก็คือ การยื่นเรื่องต่อศาลเพื่อฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย หรือค่าชดเชยในปัญหาที่เกิดขึ้นจากคู่กรณี แต่ก็มีคำถามอยู่เหมือนกันว่า การทำเช่นนี้เป็นเรื่องที่ยุ่งยากไหม มันจะคุ้มค่าหรือไม่ที่จะฟ้องร้องกัน...
ปัญหาเรื่องนี้ houzzMate ได้นำเอาไปปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย เพื่อนำเอาความเห็นของนักกฎหมายมาเผยแพร่แนะนำเป็นความรู้ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ เมื่อต้องการใช้กฎหมายในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับงานก่อสร้างหากว่าต้องพบเจอเรื่องราวที่รู้สึกว่าต้องการพึ่งกฎหมายขึ้น และหากท่านมีคำถาม สามารถแจ้งเอาไว้ได้ เราจะนำเอาคำถามไปปรึกษานักกฎหมาย เพื่อเอามาแนะนำต่อไป
รู้สึกว่าอีกฝ่ายทำผิดสัญญาที่ทำไว้ แต่ถ้าต้องฟ้องร้องกันจริงๆ มันจะคุ้มหรือไม่ !??
คำถาม :
ผู้ว่าจ้าง หรือ ผู้รับเหมาทำผิดสัญญา แต่จะฟ้องก็กลัวไม่คุ้ม จะทำอย่างไรดี...
ความเห็นนักกฎหมาย :
“ปัญหาเรื่องของการฟ้องร้องเป็นคดีความ หรือการที่ต้องมีการขึ้นโรงขึ้นศาล เป็นปัญหาที่คงไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แม้แต่ผู้เขียนเองในฐานะนักกฎหมายก็คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า การฟ้องร้องดำเนินคดีในชั้นศาลนั้น นอกจากจะเสียค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างมากแล้ว ยังต้องเสียเวลา และเสียมิตรภาพอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ในบางครั้ง ที่เราไม่สามารถจัดการปัญหาต่างๆได้ด้วยตนเองได้ ก็อาจจำเป็นที่จะต้องนำคดีมาฟ้องต่อศาลเพื่ออาศัยบารมีศาลเป็นที่พึ่ง
กรณีที่เจ้าของบ้านหรือผู้ว่าจ้างหลายท่านต้องประสบปัญหากับประสบการณ์ที่ถูกผู้รับเหมาทิ้งงาน เชื่อว่าทุกท่านคงได้พยายามติดตาม ติดต่อ ทวงถามให้ผู้รับเหมากลับมารับผิดชอบงานแล้ว แต่ไม่เป็นผล หรือ ผู้รับเหมา รู้สึกว่าเจ้าของบ้านบ่ายเบี่ยงเลี่ยงที่จะจ่ายเงินตามสัญญา แต่ติดตามอย่างไรก็ไม่มีวี่แววจะได้... ดังนั้นจึงปฏิเสธไม่ได้ที่จะต้องฟ้องคดี ในที่นี้ ในการฟ้องคดีนั้น จะคุ้มค่าหรือไม่ ต้องขึ้นอยู่กับการใช้ดุลพินิจชั่งน้ำหนักของผู้ที่จะฟ้องคดีเอง โดยพิจารณาจากปัจจัยง่ายๆ กล่าวคือ จำนวนทุนทรัพย์ที่เราจะฟ้องเรียกร้องจากเขา คุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายที่เราจะต้องเสียไปในการดำเนินคดีหรือไม่ ซึ่งค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีหลักๆ ก็จะประกอบไปด้วย ค่าธรรมเนียมศาล (โดยหลักในคดีมีทุนทรัพย์จะเสียค่าธรรมเนียมศาลในอัตราร้อยละ 2 ของทุนทรัพย์ที่เรียกร้อง), ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีอื่นๆ เช่นค่านำหมาย ค่าฤชาธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง และค่าว่าจ้างทนายความในการฟ้องร้องดำเนินคดีให้ ซึ่งค่าทนายความนี้จะมากน้อยเพียงใดก็จะขึ้นอยู่กับความยากง่ายของรูปคดี และมาตรฐานในการเรียกค่าวิชาชีพของทนายความแต่ละท่านที่แตกต่างกันไป โดยผู้ที่จะว่าจ้างทนายความต้องตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายกับทนายความเอง
นอกจากปัจจัยในเรื่องทุนทรัพย์แล้ว สิ่งที่เกี่ยวข้องกันที่ไม่อาจละเลยได้ คือ ต้องพิจารณาว่า เมื่อฟ้องคดีไปแล้ว โอกาสที่เราจะชนะคดีมีมากน้อยเพียงใด โดยหลักแล้วมักจะพิจารณาจากรูปคดี พยานหลักฐานที่มีอยู่เช่น โดยรูปคดีที่เกิดขึ้นได้มีพยานหลักฐานมากน้อยเพียงไหนที่จะพิสูจน์ให้ศาลเชื่อได้ตามที่เราฟ้อง คดีขาดอายุความหรือยัง หรือโดยเนื้อหาหรือข้อตกลงในสัญญาเราได้เปรียบหรือเสียเปรียบมากน้อยเพียงไหน ฯลฯ เหล่านี้ ท่านสามารถปรึกษากับทนายความและหารือถึงทิศทางที่ควรจะดำเนินการต่อไปได้
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะมีการฟ้องคดีเกิดขึ้นหรือไม่ สิ่งสำคัญที่ผู้ว่าจ้าง หรือคู่สัญญาไม่ควรละเลย ก็คือการตกลงกันกับผู้รับเหมาให้ชัดเจนละควรบันทึกข้อตกลงดังกล่าวไว้เป็นลายลักษณ์อักษรโดยละเอียด เพื่อเป็นหลักฐานแห่งการสื่อสารที่ตรงกัน และอาจนำมาใช้อ้างอิงเมื่อเกิดปัญหาในภายภาคหน้า สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ การตรวจสอบประวัติหรือคุณสมบัติของผู้รับเหมาก่อนตกลงว่าจ้างให้ทำงาน เพราะสุดท้ายแล้ว หากผู้รับเหมาดังกล่าวเป็นบุคคลผู้มีพฤติกรรมไม่ดีมาอยู่ก่อนแล้ว แม้จะถูกดำเนินคดี ก็อาจเป็นการยากที่จะบังคับคดีเอากับทรัพย์สินของเขา หากไม่ปรากฏว่าเขาไม่มีทรัพย์สินใดที่พอจะชำระหนี้เราได้เลย”
นี่เป็นความเห็นของนักกฎหมายที่ได้แนะนำเอาไว้ ซึ่งหากกล่าวโดยสรุปก็คือ ก่อนที่เราจะฟ้องร้องก็ควรมีการพิจารณาให้รอบคอบถึงเรื่องของความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ว่าใครถูกใครผิดอย่างเป็นธรรมเสียก่อน บางทีปัญหามันเกิดจากความเข้าใจผิดกัน ระหว่างผู้ว่าจ้างและ ผู้รับเหมา ซึ่งสามารถที่จะพูดคุยรอมชอมกันได้ เพราะหากว่าต้องฟ้องร้องกันจริงๆ ก็ต้องมาพิจารณากันต่อในเรื่องของความคุ้มค่า เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายที่จะตามมา ว่ามันมีความคุ้มค่าแค่ไหนกับจำนวนทุนทรัพย์ของเหตุที่เกิดขึ้นนั้นๆ นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องการหา ทนายความ ที่ต้องมีความเชี่ยวชาญพอในการว่าความแทนเราในการดำเนินคดี นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องของเวลาที่ต้องใช้ไปในการฟ้องร้อง รวมถึงมองไปในแง่ของโอกาสในการชนะคดีที่ต้องดูที่น้ำหนักหลักฐาน สุดท้ายก็ยังต้องดูด้วยว่าหากเราชนะฝ่ายตรงข้ามมีความสามารถมากน้อยแค่ไหนในการชดใช้หรือชดเชยคืนให้กับเรา ทั้งหมดเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาให้ดีก่อนดำเนินการ ซึ่งก็อยู่ที่ดุลพินิจของแต่ละคนที่จะตัดสินใจ...