บทความที่น่าสนใจ
 ไม่ว่าจะอุดรอยรั่วที่หลังคาปิดรอยร้าวที่ผนังซ่อมแซมพื้น ปูกระเบื้อง ติดไม้บัวกับกำแพงติดกรอบประตู-หน้าต่างหรืองานอื่นที่เป็นลักษณะปิดรอยต่อระหว่างวัสดุต่างๆล้วนแล้วต้องใช้ยาแนวเป็นตัวช่วยทั้งสิ้นแต่ยาแนวหรือเรียกอีกอย่างว่าSealantก็มีหลายประเภทบางคนอาจะเลือกใช้ไม่ถูกบทความนี้จึงจะขอแนะนำให้รู้จักกับยาแนวแต่ละประเภทว่าใช้งานต่างกันอย่างไร จุดประสงค์ของการใช้ยาแนวหลักๆแล้วมีอยู่2อย่างคือ ปิดรอยต่อ (Seal)เช่นอุดหลังคารั่วปิดผนังร้าวยาแนวกรอบประตู-หน้าต่างและยึดติดวัสดุ (Adhesive)เช่นติดกระจกตู้ปลาส่วนประเภทของยาแนวมีด้วยกัน4ประเภท 1. อะคริลิก (Acrylic) ยาแนวประเภทนี้มีความยืดหยุ่น5%ซึ่งถือว่าน้อยที่สุดในบรรดายาแนวแต่ละประเภททำมาจากวัสดุกลุ่มไฮโดรคาร์บอน(คาร์บอนไฮโดรเจนออกซิเจน)ใช้น้ำเป็นตัวทำละลายจึงไม่ควรใช้ยาแนวประเภทนี้ในพื้นที่ที่เปียกชื้นเพราะจะทำให้เนื้ออะครีลิคไม่แข็งตัวแต่หากใช้ในพื้นที่ที่เหมาะสมเมื่อยาแนวอะครีลิคนี้แข็งตัวแล้วจะไม่ละลายน้ำยาแนวอะคริลิคเหมาะกับงานปิดรอยต่อเพราะสามารถขัดแต่งผิวงานและทาสีทับได้อย่างสวยงามเช่นปิดรอยร้าวที่ผนังยาแนวเชื่อมรอยต่อกรอบประตู-หน้าต่างเข้ากับผนังหรือยาแนวรอยต่อของสุขภัณฑ์เป็นต้นยาแนวประเภทนี้สามารถใช้ได้กับทุกพื้นผิวและมีสีหลากหลายให้เลือกใช้ให้เหมาะสมกับวัสดุนั้นๆแต่ไม่ทนต่อรังสีUVจึงไม่ควรใช้ภายนอกอาคารเพราะอายุการใช้งานจะสั้น 2. ซิลิโคน (Silicone)  เป็นยาแนวที่มีความยืดหยุ่นสูงถึง25%ทำมาจากวัสดุโพลิเมอร์ยาแนวซิลิโคนนี้เป็นวัสดุกึ่งเหลวที่มีความยืดหยุ่นสูงทนต่อรังสีUVจึงสามารถใช้ภายนอกอาคารได้มีแรงยึดเกาะสูงและด้วยคุณสมบัติที่สามารถนำไปใช้ได้สารพัดประโยชน์ยาแนวประเภทนี้จึงนิยมใช้กันมากที่สุดยาแนวซิลิโคนเป็นเพียงประเภทหนึ่งของวัสดุปิดรอยต่อยาแนวซิลิโคนนิยมใช้กับรอยต่อระหว่างอลูมิเนียมกับกระจกโดยเฉพาะอาคารสูงที่มีการติดตั้งกระจกจำนวนมากยาแนวประเภทนี้ไม่สามารถทาสีทับได้แต่มีหลากหลายสีให้เลือกใช้งานเช่นสีใสใช้กับงานกระจกสีขาวใช้กับงานสุขภัณฑ์และสีดำใช้กับพื้นผิวสีเข้มอย่างท็อปเคาน์เตอร์แกรนิตในห้องครัว  ยาแนวซิลิโคนมี2ประเภทคือ ยาแนวซิลิโคนแบบมีกรด จะมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวซึ่งกลิ่นเหม็นเปรี้ยวเป็นสารระเหยที่ทำให้ยาแนวแห้งเร็วเหมาะกับงานปิดรอยต่อระหว่างกระจกกับกระจกเพราะมีแรงยึดเกาะสูงพื้นผิวที่ไม่เหมาะกับยาแนวซิลิโคนแบบมีกรดเป็นพวกกลุ่มโลหะและหินอ่อนเพราะกรดจะไปทำปฏิกิริยากัดกร่อนพื้นเหล่านั้นให้เกิดความเสียหายได้ส่วนยาแนวซิลิโคนแบบไม่มีกรด จะไม่มีกลิ่นเหม็นแห้งช้ากว่าและมีแรงยึดเกาะที่น้อยกว่าแต่จะมีความยืดหยุ่นที่มากกว่าพื้นผิวที่เหมาะกับการใช้งานเช่นคอนกรีตปูนอิฐไม้เซรามิกและอะลูมิเนียมดังนั้นควรเลือกใช้ยาแนวให้เหมาะกับชนิดของพื้นผิวเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและไม่ทำให้พื้นผิวเสียหาย 3. โพลียูรีเทน (PolyUrethane)  ยาแนวประเภทนี้มักเรียกกันว่าพียู(PU)มีความยืดหยุ่นตัวสูงถึง35%แข็งแรงทนทานแห้งเร็วแห้งแล้วไม่หดตัวจึงสามารถอุดรอยต่อในที่ที่มีการเคลื่อนตัวได้ดีสามารถใช้ได้ทั้งภายในและภายนอกอาคารเพราะทนต่อรังสีUVทาสีทับได้ยาแนวโพลียูริเทนนี้เหมาะกับงานรอยต่อระหว่างโครงสร้างของอาคารแผ่นพรีคาสท์คอนกรีตปิดรอยต่อเมทัลชีทอุดรอยต่อกระเบื้องมุงหลังคาใช้ยาแนวกระเบื้องเซรามิคหินสุขภัณฑ์เป็นต้น 4. โมดิฟายซิลิโคน (ModifiedSilicone) ยาแนวประเภทนี้ถูกพัฒนาเพื่อแก้ปัญหาของยาแนวแบบเดิมโดยการนำข้อดีของยาแนวแบบอะคริลิคและซิลิโคนมาพัฒนาให้ยาแนวสามารถทาสีทับได้เหมือนยาแนวอะคริลิคและพียูมีความยืดหยุ่นตัวและยึดเกาะตัวสูงป้องกันรังสีUVได้เหมือนยาแนวซิลิโคนสามารถใช้งานในที่เปียกชื้นได้ใช้งานได้กับเกือบทุกพื้นผิวทั้งคอนกรีตปูนโลหะหินธรรมชาติสเตนเลสอะลูมิเนียมพีวีซีไม้ไฟเบอร์ซีเมนต์และโพลีสไตรีนไม่มีกรดที่เป็นอันตรายกลิ่นไม่แรง นี่เป็นขั้นตอนในการจัดการปัญหาสีผนังหลุดร่อนงานสีที่สามารถทำเองถ้ายังหาช่างไม่ได้แต่ถ้าเป็นงานใหญ่หรือต้องการช่างสีมืออาชีพมาทำงานให้houzzMateเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สะดวกในการ หาช่าง ใกล้บ้านที่พร้อมบริการให้กับคุณ
เปิดดู:19
สาเหตุผลักๆของผนังขึ้นราเกิดจากสภาพอากาศหรือจากปัญหาน้ำขังหรือรั่วซึมมาดูกันว่าทั้งสองกรณีนี้มีวิธีแก้ไขอย่างไร ผนังขึ้นราไม่ว่าจะเป็นผนังภายในและภายนอกเป็นสัญญาณว่าบริเวณนั้นอาจมีปัญหาเรื่องความชื้นจึงทำให้เชื้อราเติบโตได้ดีเชื้อราบนผนังอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุแต่หลักๆแบ่งออกได้เป็น2กรณีโดยมีวิธีแก้ไขที่แตกต่างกันดังนี้ กรณีที่1|เกิดจากสภาวะอากาศทั่วไป พื้นที่ดังกล่าวอาจประสบปัญหาเรื่องความชื้นโดยตรงมีสภาวะแวดล้อมและอุณหภูมิที่เหมาะสมกับการเติบโตของเชื้อราอาทิผนังบ้านภายนอกบริเวณชั้นล่างเกิดคราบเชื้อราและผนังแตกล่อนมักเป็นผนังที่อยู่ติดกับสนามหญ้าและสวนจึงเป็นไปได้ว่าเกิดจากความชื้นของบริเวณดังกล่าวซึมผ่านผนัง วิธีแก้ไขปัญหา 1.สำหรับ“ผนังภายนอก”ให้เริ่มลอกสีผนังออกโดยใช้เกรียงขูดผนังให้เรียบร้อยส่วน“ผนังภายใน”ให้ขัดล้างขูดสีและกำจัดเชื้อราออกควรทิ้งให้ผนังคายความชื้นประมาณ1วัน 2.สำหรับ“ผนังภายนอก”ให้ทาน้ำยากันซึมบนผิวผนังให้ชุ่มปล่อยให้แห้งสนิทก่อนทาสีส่วน“ผนังภายใน”ทาน้ำยาฆ่าเชื้อราและตะไคร่น้ำ(ประเภทไมโครคิล)ปล่อยให้แห้งนาน2-3ชั่วโมงก่อนทาสีทับ 3.ทาสีทับหน้าใหม่ กรณีที่2|เกิดจากปัญหารั่วซึมมีน้ำขังผนังที่ขึ้นราอาจมาจากการดูดซับความชื้นจากที่อื่นนั่นหมายถึงมีจุดรั่วซึมอาทิท่อน้ำในผนังรั่วดาดฟ้ามีน้ำขังหรือมีรอยแตกร้าวฯลฯดังนั้นควรหาสาเหตุหลักให้พบก่อนว่าที่มาของความชื้นดังกล่าวเกิดจากอะไรบริเวณไหนและดำเนินการแก้ไขให้เรียบร้อยก่อนที่จะเริ่มซ่อมแซมผนังต่อไป วิธีแก้ปัญหา 1.หลังซ่อมแซมจุดรั่วซึมหรือน้ำขังอันเป็นที่มาของผนังขึ้นราให้เริ่มสกัดหน้าผิวปูนออกเพื่อระบายความชื้นที่สะสมในผนังและรอจนผนังแห้งสนิท 2.ใช้น้ำยาอะคริลิคร้อยเปอร์เซ็นต์ผสมกับปูนฉาบเพื่อช่วยป้องกันการรั่วซึมโดยนำมาฉาบผนังเก็บงานให้เรียบร้อยแล้วปล่อยให้แห้งสนิท 3.ทาสีรองพื้นกันเชื้อราก่อนทาสีจริงทับหน้า นี่เป็นขั้นตอนในการจัดการปัญหาสีผนังหลุดร่อนงานสีที่สามารถทำเองถ้ายังหาช่างไม่ได้แต่ถ้าเป็นงานใหญ่หรือต้องการช่างสีมืออาชีพมาทำงานให้houzzMateเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สะดวกในการ หาช่าง ใกล้บ้านที่พร้อมบริการให้กับคุณ
เปิดดู:19
เครื่องมือช่างสามัญประจำบ้านก็เหมือนกับยาสามัญประจำบ้านที่ช่วยรักษาช่วยซ่อมแซมบ้านในเรื่องเล็กๆน้อยๆแล้วเครื่องมือช่างพื้นฐานที่ทุกบ้านควรมีมีอะไรบ้าง1.ค้อนมีหลากหลายชนิดแต่ที่ควรมีติดบ้านไว้คือค้อนหงอนที่สามารถใช้ได้ทั้งตอกทุบและถอนตะปูได้ด้ามค้อนควรมีความยาวพอเหมาะจับถนัดและกระชับมือหุ้มด้วยยางเพื่อช่วยให้ค้อนไม่หลุดมือได้ 2. ตลับเมตรตลับเมตร เป็นเครื่องมือช่างพื้นฐานที่ควรมีไม่มีไม่ได้ใช้วัดระยะวัดขนาดของสิ่งของเช่นวัดระยะการเดินสายไฟระยะเดินท่อน้ำตลับเมตรที่นิยมใช้จะอยู่ที่ความยาว2-5เมตรหน้ากว้าง1นิ้วสายวัดจะได้ไม่บิดเกลียวเวลาดึงออกมาใช้งานต้องไม่หดกลับคืน 3.ประแจเลื่อนประแจเลื่อน อีกหนึ่งเครื่องมือช่างที่ขาดไม่ได้ใช้สำหรับขันหรือคลายหัวน็อตที่มีลักษณะเป็นเหลี่ยมโดยที่ไม่ต้องออกแรงมากมีแค่ประแจเลื่อนตัวเดียวก็สามารถใช้ขันน็อตได้เกือบทุกขนาดเพราะปากประแจสามารถเลื่อนปรับขนาดได้ 4.คีมคีม เป็นเครื่องมือช่างที่ใช้ในการจับดัดบีบตัดซึ่งจะสามารถใช้กับวัตถุขนาดเล็กเช่นเส้นลวดหรือสายไฟที่แนะนำให้มีติดบ้านไว้คือคีมปากจระเข้ปากคีมมีคมไว้สำหรับตัดด้านข้างและสามารถใช้จับชิ้นงานได้อยู่ภายในตัวเดียวกันและคีมปากจิ้งจกใช้สำหรับจับโลหะแบนหรือสายไฟปากคีมมีลักษณะเรียวแหลมและมีขนาดเล็กเหมาะกับการใช้งานในที่แคบและงานไฟฟ้า 5.ไขควงไขควง ใช้ขันสกรูให้แน่นหรือคลายสกรูออกมีทั้งแบบแฉกแบบแบนและแบบอื่นๆควรมีติดบ้านไว้หลายขนาดเพื่อรองรับได้ทุกการใช้งานและไขควงอีกชนิดที่ขาดไม่ได้เลยก็คือไขควงวัดไฟใช้วัดกระแสไฟฟ้าเช่นวัดว่าเต้าเสียบปลั๊กมีกระแสไฟฟ้าหรือไม่ควรเลือกที่มีขนาดแรงดันไฟฟ้าเหมาะสำหรับบ้านเราคือ200-250โวลต์และเลือกที่มีวัสดุฉนวนหุ้มทั้งตรงด้ามจับกันไฟฟ้ารั่วมาช็อตได้ 6.สว่านไฟฟ้าสว่านไฟฟ้า เป็นเครื่องมือช่างที่ช่วยงานเจาะไม่ว่าจะเจาะผนังเจาะไม้พลาสติกและโลหะให้เป็นรูใช้งานง่ายไม่ต้องออกแรงมากสำหรับการเลือกซื้อก็อาจเลือกซื้อรุ่นที่มีโหมดการเจาะทั่วไปสำหรับงานเจาะผนังเจาะเฟอร์นิเจอร์ที่ไม่ต้องใช้แรงกระแทกมากกำลังไฟที่ใช้ควรเลือกแบบ300วัตต์ 7.เลื่อยเลื่อย ใช้ในการตัดวัสดุต่างๆที่เราต้องการซ่อมแซมไม่ว่าจะเป็นท่อPVCท่ออลูมิเนียมตะปูนอตสกรูหรือไม้แต่เราต้องเลือกชนิดของเลื่อยให้เหมาะกับวัสดุที่ต้องการตัดถ้าต้องการตัดพวกท่อPVCตะปูนอตให้เลือกเลื่อยตัดเหล็กฟันของเลื่อยชนิดนี้จะค่อนข้างละเอียดและไม่ลึกทำให้หากคุณจะเลื่อยไม้คุณควรเลือกเลื่อยลันดา 8.เทปพันสายไฟเทปพันสายไฟ เป็นอีกเครื่องมือช่างที่ควรมีติดบ้านไว้เพราะหากสายไฟเกิดชำรุดขึ้นมาก็สามารถใช้เทปพันสายไฟมาซ่อมแซมได้อีกทั้งยังสามารถใช้พันรอยต่อของสายไฟเพื่อป้องกันไฟรั่วหรือไฟดูดได้อีกด้วยก่อนที่จะพันเทปเข้ากับสายไฟควรดึงเทปให้ยืดก่อนเพื่อลดการเกิดฟองอากาศ 9.เทปพันเกลียวเทปพันเกลียว ก็เป็นเครื่องมือช่างสามัญประจำบ้านที่ไม่ควรขาดเพราะเมื่อท่อน้ำท่อประปารั่วซึมสามารถหยิบเทปพันเกลียวมาพันได้ในทันที10.มีดคัตเตอร์มีดคัตเตอร์ เป็นได้ทั้งเครื่องเขียนและเครื่องมือช่างแนะนำให้แยกการใช้งานกันเพื่อให้ง่ายกับการหยิบใช้งานได้ซึ่งในแง่ของเครื่องมือช่างคัตเตอร์ใช้สำหรับกรีดตัดเซาะเช่นปอกฉนวนสายไฟ 11.ถุงมือถุงมือ ช่วยป้องกันอันตรายและสิ่งสกปรกมาสัมผัสมือเพราะงานช่างส่วนใหญ่ต้องมีการสัมผัสกับวัสดุแหลมคมอาจทำให้ได้รับบาดเจ็บได้วิธีการเลือกซื้อถุงมือควรเลือกแบบที่สามารถระบายความร้อนได้ 12.กล่องเครื่องมือกล่องเครื่องมือ มีไว้เก็บเครื่องมือช่างสามัญประจำบ้านเราควรเก็บรวบรวมไว้ที่เดียวกันและเก็บให้เป็นระเบียบเพื่อให้ง่ายกับการหยิบใช้งานซึ่งการเลือกซื้อกล่องเครื่องมือเลือกได้ตามการจัดเก็บเครื่องมือที่แต่ละบ้านมีได้เลย
เปิดดู:19
สนามหญ้าเป็นหนึ่งในจุดเด่นที่ทำให้บ้านที่อยู่อาศัยของเราชวนมองและน่าอยู่อาศัยมากขึ้นลดความแข็งกระด้างของตัวบ้านที่มักก่อสร้างด้วยอิฐและปูนให้มีความรู้สึกสบายตาเป็นธรรมชาติมากขึ้นอย่างไรก็ตามการมีสนามหญ้าเป็นเรื่องที่ต้องคอยดูแลเอาใจใส่ปล่อยปละละเลยเมื่อไหร่เป็นอันก่อปัญหาเปลี่ยนจากสิ่งเพิ่มความงามเป็นสิ่งบั่นทอนความงามให้กับบ้านที่อยู่อาศัยได้ทันทีในบทความนี้E-FixGardenerผู้ให้บริการตัดหญ้าตัดแต่งกิ่งต้นไม้ดูแลสวนเชียงใหม่มีสิ่งที่ควรทราบก่อนลงมือตัดหญ้าในสนามมาเล่าให้ฟังสิ่งที่ควรพิจารณาก่อนลงมือตัดหญ้าในสนาม1.สภาพของพื้นที่ก่อนลงมือตัดหญ้าสิ่งแรกที่เราควรทำก็คือการเข้าไปสำรวจพื้นที่ในบริเวณที่เราจะตัดตรวจสอบดูว่าพื้นที่พร้อมให้เราเข้าไปลงมือทำงานได้เลยหรือต้องจัดการกับสิ่งของกีดขวางเสียก่อนเช่นก้อนหินกระถางใหญ่หลุมพื้นที่ดินยุบตัวสิ่งเหล่านี้มีผลต่อความสะดวกในการตัดหญ้าทั้งหมดในจุดที่ไม่สามารถย้ายได้เราอาจจะใช้กรรไกรตัดหญ้าเข้าไปตัดแต่งรอบๆเอาไว้ก่อนไม่ควรใช้เครื่องตัดหญ้าเข้าไปตัดใกล้ในจุดที่มีสิ่งกีดขวางเพราะอาจทำให้เกิดอันตรายหรือเกิดความเสียหายกับสิ่งของและเครื่องมือได้นอกจากนี้ยังมีพวกวัชพืชที่เราไม่ต้องการควรขุดถอนทิ้งออกไปก่อนที่จะตัดเพราะหากลงมือตัดก่อนการถอนดึงวัชพืชที่สั้นจะทำได้ยากและเราอาจจะหามันไม่พบเนื่องจากสั้นเรียบเสมอกับหญ้าที่เราเลี้ยงไว้ก็เป็นไปได้2.ระดับความสูงของหญ้าที่ต้องการตัดเรื่องนี้มักไม่ใคร่มีคนทราบแต่เป็นเรื่องที่มีความสำคัญในการตัดหญ้าที่เราปลูกเลี้ยงไม่ใช่ว่าพอรกยาวก็จัดการเอาเครื่องมาตัดให้เตียนสั้นติดพื้นการทำเช่นนั้นจะทำให้หญ้าที่เราอุตส่าห์ดูแลอ่อนแอและเสี่ยงที่จะตายลงขนาดความสูงที่พอเหมาะในการตัดหญ้าเลี้ยงแต่ละครั้งคือไม่เกิน1ใน3ของความสูงของต้นหญ้าเท่านั้นที่เป็นขนาดความยาวที่ปลอดภัยการตัดสั้นเกินไปทำให้ต้นหญ้าได้รับความบอบช้ำเสียหายและอาจตายได้ทำให้เราเสียสนามหญ้าสวยๆไปอย่างน่าเสียดายดังนั้นหากเราปล่อยสนามหญ้าไว้นานจนงอกยาวอาจจะต้องลงมือตัดหลายครั้งโดยตัดครั้งหนึ่งไม่เกินขนาดความสูง1ใน3และควรเว้นระยะห่างราว3-4วันก่อนการตัดครั้งต่อไปเพื่อให้ต้นหญ้าพื้นตัว3.อุปกรณ์ที่ใช้ตัดหญ้าก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญแน่นอนว่ามีเครื่องมือและอุปกรณ์ในการตัดหญ้ามากมายหลายชนิดในท้องตลาดเราต้องเลือกให้เหมาะสมกับชนิดของหญ้าและภาระงานไม่จำเป็นต้องซื้อเครื่องใหญ่เกินไปหากเรามีสนามหญ้าไม่กว้างนักและที่สำคัญอีกอย่างก็คือต้องคอยดูแลอุปกรณ์ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ก่อนใช้งานใบตัดต้องผ่านการลับให้มีความคมซึ่งจะช่วยให้ทำงานได้เร็วไม่เหนื่อยแรงมากและยังดีต่อต้นหญ้าที่ไม่เกิดความเสียหายมากจนเกินไปรวมถึงมีรอยตัดที่เรียบสวยงาม4.ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการตัดหญ้าก็เป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษการตัดหญ้าในวันที่มีฝนตกหรือดินชุ่มชื้นมากเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำเหตุผลเพราะดินที่มีความอ่อนตัวจะทำให้ต้นหญ้าเราเหยียบย่ำหรือตัดผ่านจมลึกลงไปในดินทำให้หญ้าตายได้แต่ก็ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะตัดหญ้าในวันที่มีแสงแดดจัดหรือช่วงที่อากาศร้อนและแห้งมากเพราะจะทำให้หญ้าที่ถูกตัดสูญเสียน้ำเป็นปริมาณมากทำให้มันอ่อนแอและเสี่ยงที่จะตายควรตัดในวันที่อากาศแจ่มใสและช่วงเย็นที่แดดเริ่มอ่อนแรงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด5.แนวในการตัดการตัดหญ้าเพื่อให้เกิดความสวยงามแนวในการตัดเป็นเรื่องที่จำเป็นเรื่องนี้อาจจะต้องอาศัยความชำนาญบ้างหากต้องการให้ออกมาเรียบสวยในกรณีพื้นเป็นที่เรียบการตัดในแนวตรงไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่แต่หากว่าพื้นไม่เรียบเสมอกันแนะนำให้ตัดในแนวทแยงจะช่วยให้ได้ขนาดความสูงของหญ้าที่สม่ำเสมอมากกว่านี่เป็นเรื่องที่ควรพิจารณาก่อนลงมือตัดหญ้าในสนามซึ่งE-FixGardenerอยากให้คำแนะนำซึ่งท่านสามารถลงมือจัดการตัดแต่งสนามหญ้าได้ด้วยตนเองแต่หากยังไม่มั่นใจหรือต้องการบริการตัดหญ้าในเขตอำเภอเมืองจังหวัดเชียงใหม่หรือพื้นที่ใกล้เคียงติดต่อเราได้เรามีทีมงานตัดหญ้าที่ได้รับการฝึกอบรมและมีประสบการณ์พร้อมไปให้บริการค้นหาคนรับตัดหญ้าเชียงใหม่เรียกE-FixGardenerขอบคุณบทความจาก:สิ่งที่ควรพิจารณาก่อนลงมือตัดหญ้าในสนาม
เปิดดู:261
ช่วงนี้ประเทศไทยเราพายุเข้าหนักมากเลยครับฝนตกแทบทุกวันซึ่งปัญหาหนึ่งของบ้านและคอนโดที่มักมาพร้อมฝนก็คือ "ไฟฟ้าลัดวงจร" หรือไฟช็อตนั่นแหละครับไฟฟ้าลัดวงจรเนี่ยมักเกิดตอนน้ำท่วมก็จริงแต่ตอนน้ำไม่ท่วมก็เกิดได้เหมือนกันนะหากไม่ระวังให้ดีอาจลุกลามจนกลายเป็นไฟไหม้บ้านหรือคอนโดได้เลยเสียหายหนักครับแบบนี้  สาเหตุเกิดจากกสายไฟหรืออุปกรณ์จ่ายไฟเกิดการเสื่อมสภาพ น้ำฝนหรือความชื้นจากฝนอาจทำให้ระบบจ่ายไฟเสียหายจนเกิดการลัดวงจรและส่งผลกระทบต่อเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านหรืออาจทำให้เกิดประกายไฟเสี่ยงต่อไฟไหม้ได้อีกด้วย แนวทางการแก้ไขและป้องกัน ต้องเช็คสายไฟและเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านอย่างสม่ำเสมอว่าไม่เก่าเสื่อมสภาพไม่มีไฟรั่วและใช้งานได้อย่างปลอดภัย
เปิดดู:293
เข้าหน้าฝนทีไรเมื่อฝนตกบ่อยๆบริเวณหน้าบ้านหรือทางเดินอาจเกิดตะไคร่น้ำได้ซึ่งไม่ควรมองข้ามเรื่องนี้เลยเพราะจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ แนวทางการแก้ไขและป้องกัน หลังฝนตกควรรีบทำความสะอาดไม่ควรปล่อยไว้นานวิธีกำจัดอาจใช้น้ำยาฆ่าเชื้อราและตะไคร่ราดแต่ต้องเลือกน้ำยาให้เหมาะกับพื้นผิวที่จะทำความสะอาดด้วยทิ้งให้น้ำยาทำปฏิกิริยาจากนั้นใช้แปรงขัดหรือใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงฉีดก็ได้
เปิดดู:249
เข้าหน้าฝนทีไรมักจะเจอปัญหาเรื่องหลังคารั่วกันเป็นประจำหากะละมังมารองกันยกใหญ่เเละอีกหนึ่งจุดที่น่าเป็นห่วงไม่เเพ้กันเลยก็คือ“ผนังบ้านรั่ว”นั่นเองฟังดูเเล้วน่าตกใจเหมือนกันนะเนี่ย สำหรับปัญหาผนังและพื้นรั่วซึมในช่วงหน้าฝนจะคล้ายๆกับปัญหาหลังคารั่ว ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของปัญหาอื่นๆตามมาอีกเช่นพื้นหรือผนังเกิดความชื้นจนเชื้อราหรือตะไคร่ขึ้นสีทาบ้านลอกล่อนวัสดุกรุผิวโป่งพองหรือหลุดร่วงไปจนถึงโครงสร้างบ้านได้รับความเสียหายจากการที่เหล็กเสริมในคอนกรีตเป็นสนิมและถ้าผนังตรงจุดนั้นมีปลั๊กไฟหรือสายไฟก็อาจทำให้เกิดไฟรั่วได้เช่นกัน​นอกจากนี้หากมีช่องว่างระหว่างวงกบประตู-หน้าต่างกับผนัง ก็ทำให้น้ำผ่านเข้ามาภายในบ้านได้ แนวทางการแก้ไขและป้องกัน การแก้ไขทำความสะอาดแล้วจึงยาแนวด้วยซิลิโคนใหม่วงกบไม้ถ้ายังอยู่ในสภาพดีแต่แยกตัวจากผนังโดยรอบให้ทำความสะอาดและอุดช่องว่างโดยรอบด้วยซิลิโคนหรือกาวโพลียูรีเทน(กาวพียู) อีกสาเหตุของปัญหาน้ำรั่วซึมจากน้ำฝนคือท่อระบายน้ำจากหลังคาหรือระเบียงที่ซ่อนในผนังบ้านรั่วซึม ซึ่งอาจทำให้ผนังหรือพื้นมีรอยช้ำน้ำหรือสีบวมที่ผนังได้เช่นกันการแก้ไขควรซ่อมท่อระบายน้ำที่รั่วซึมให้เรียบร้อย แล้วจึงซ่อมแซมผนังหรือพื้นที่เสียหาย ทั้งนี้ในกรณีที่เกิดปัญหารั่วซึมจนโครงสร้างพื้นหรือคานได้รับความเสียหายเช่นคอนกรีตกะเทาะจนเห็นเหล็กเส้นที่เป็นสนิมควรรีบซ่อมแซมตามลักษณะความเสียหายโดยในกรณีที่เป็นสนิมผิวให้ขัดสนิมด้วยกระดาษทรายและทาน้ำยาแปลงสนิม(RustConverter)ก่อนฉาบหรือหล่อคอนกรีตสำหรับงานซ่อมแซม(Non-ShrinkGrout)แต่หากเป็นสนิมขุมที่กินเนื้อเหล็กควรซ่อมแซมภายใต้การควบคุมของวิศวกรผู้ชำนาญเท่านั้น  
เปิดดู:263
หลายๆคนคงทราบดีว่าการที่ฝนตกแต่ละครั้งไม่ได้ตกมาแค่น้ำฝนอย่างเดียวแต่ยังพาเอาฝุ่นดินหรือใบไม้ตกลงมาด้วยซึ่งบางครั้งเมื่อสิ่งนี้ไปตกลงที่รางน้ำฝนหรือท่อน้ำทิ้งอาจเป็นสาเหตุทำให้ท่อน้ำทิ้งตันได้ ดังนั้นต้องหมั่นสังเกตให้ดีว่าท่อน้ำทิ้งหรือรางน้ำฝนยังใช้งานได้ดีอยู่หรือเปล่า ถ้าไม่มีน้ำไหลลงมาเมื่อฝนตกก็แปลว่าตันแน่นอนบางครั้งมีน้ำไหลล้นออกมานอกรางน้ำฝนจนอาจถึงขั้นไหลย้อนกลับเข้าไปในฝ้าเพดานและรั่วซึมเข้าสู่ในบ้านได้ในที่สุดแนวทางการแก้ไขและป้องกัน หมั่นเช็คและดูแลทำความสะอาดอย่าปล่อยให้มีเศษผงเศษขยะหรือใบ้ไม้เข้าไปอุดตันเพราะจะเป็นบ่อเกิดของการกั้นทางน้ำและเป็นสาเหตุให้น้ำไหลเข้าบ้านในที่สุด
เปิดดู:366
กระเบื้องหลังคาหลุด-ปลิวด้วยสภาวะอากาศที่แปรปรวนในช่วงหน้าฝนบ้านจึงต้องรับมือกับฝนฟ้าคะนองลมกรรโชกแรงหรือแม้แต่พายุฤดูร้อนซึ่งข้อมูลด้านสถิติความเร็วลมจากสถานีอุตุนิยมวิทยา93สถานีพบว่าสถิติความเร็วลมเมื่อเกิดพายุฝนในพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ที่103ถึงมากกว่า118กม./ชั่วโมงซึ่งเริ่มสร้างความเสียหายให้กับสิ่งก่อสร้างโดยเฉพาะส่วนหลังคาเพราะหากมีการยึดกระเบื้องหลังคาไม่ดีแรงลมอาจพัดเอาหลังคาปลิวไปด้วยซึ่งนอกจากจะสร้างความเสียหายให้กับบ้านเรือนเท่านั้นยังอาจเกิดอันตรายกับทรัพย์สินและบุคคลที่อยู่บริเวณนั้นด้วย แนวทางการแก้ไขและป้องกัน เพื่อรับมือกับสภาพอากาศที่แปรปรวนควรใช้“ระบบยึดกระเบื้องหลังคา”(RoofFixingSolution)ประกอบด้วยแปตะปูเกลียวยึดกระเบื้องแหนบยึดกระเบื้องเศษขอยึดกระเบื้องและขอยึดเชิงชายด้วยวิธีการติดตั้งโดยยึดกระเบื้องหลังคาทุกแถวทุกแผ่นซึ่งจะทำให้การยึดหลังคาทั้งผืนแข็งแรงแน่นหนาโดยแนะนำให้เลือกให้อุปกรณ์ยึดที่มีคุณภาพสูงและเหมาะกับขนาดของหลังคา
เปิดดู:281
หลังคารั่วซึม เป็นปัญหาสามัญประจำหน้าฝนเลยก็ว่าได้ส่วนของหลังคาที่มักเกิดการรั่วซึมบ่อยๆคือบริเวณผืนและตำแหน่งจุดต่อต่างๆเช่นบริเวณรอยต่อระหว่างผืนหลังคาแต่ละด้านและรอยต่อตรงสันหลังคาโดยสาเหตุของการรั่วซึมเกิดจากการเลือกวัสดุและอุปกรณ์หลังคาไม่ได้มาตรฐานมีการติดตั้งอุปกรณ์ที่ไม่ถูกต้องบางกรณีรวมไปถึงลักษณะของรูปทรงหลังคาที่ทำการออกแบบไม่ถูกหลักการตั้งแต่แรกนอกจากนี้อาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆเช่นครอบหลังคาเสื่อมสภาพกระเบื้องหลังคาแตกร้าวการมุงหลังคาด้วยองศาที่ไม่เหมาะสมเป็นต้นแนวทางการแก้ไขและป้องกัน ต้องใช้“อุปกรณ์ยึดครอบหลังคา”ที่มีคุณภาพเพราะเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้ผืนหลังคาป้องกันปัญหาการรั่วซึมบริเวณสันหลังคาได้อย่างไร้กังวลนอกจากนี้เจ้าของบ้านควรเลือกกระเบื้องหลังคาและอุปกรณ์ที่เชื่อถือได้รวมถึงเลือกช่างติดตั้งที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเพื่อป้องกันปัญหาหลังคารั่วซึมตั้งแต่ต้นเหตุสำหรับการแก้ไขสถานการณ์เบื้องต้นหากมีการรั่วแล้วสามารถใช้ซิลิโคนยาแนวรอยต่อที่น้ำรั่วซึมเข้ามาแต่ก็เป็นเพียงการแก้ไขเฉพาะได้หน้าชั่วคราวเท่านั้น
เปิดดู:250
เราจะมาไขข้อสงสัยที่หลายๆคนยังอาจจะมีความเข้าใจที่ผิดๆกับวิธีใช้เเอร์ยังไงให้ประหยัดเท่าที่เราสามารถทำได้เรามาดูกันนะครับ1.ใช้เครื่องเก่าไม่ยอมเปลี่ยนยังใช้ได้อยู่     หลายคนยังไม่ยอมเปลี่ยนเพราะเห็นว่ายังใช้ได้อยู่ซึ่งจริงๆแล้วแม้ตัวเครื่องภายนอกจะยังดูดีแต่ระบบภายในก็เสื่อมไปตามระยะเวลาในการใช้งานโดยเฉพาะแอร์เก่าๆที่ใช้งานมานานเกิน15ปีซึ่งนอกจากจะต้องเสียค่าซ่อมบำรุงแพงแล้วยิ่งใช้ยิ่งกินไฟอีกต่างหากดังนั้นแทนที่จะช่วยประหยัดอาจต้องจ่ายมากกว่าการซื้อเครื่องใหม่ซึ่งเครื่องปรับอากาศในตอนนี้ก็มีทั้งการพัฒนาระบบที่ช่วยประหยัดไฟได้มากกว่าแถมยังมีฟังก์ชันเสริมต่างๆที่ตอบโจทย์การใช้งานของเรามากขึ้นด้วย 2.ยิ่งค่าBTUสูงยิ่งดีจริงเหรอ     บางคนอาจจะยังเข้าใจผิดคิดว่ายิ่งค่าBTUเยอะยิ่งทำให้บ้านเย็นซึ่งจริงๆแล้วหากเลือกเครื่องปรับอากาศที่มีค่าBTUสูงเกินความจำเป็นก็จะทำให้คอมเพรสเซอร์ตัดบ่อยแต่ถ้าเครื่องปรับอากาศมีค่าBTUต่ำเกินไปก็จะทำเครื่องทำงานหนักและกินไฟฉนั้นควรเลือกเครื่องปรับอากาศที่มีค่าBTUเหมาะสมกับขนาดของห้อง         สูตร:พื้นที่ห้อง(กว้างxยาว)xค่าCoolingLoadEstimation=ค่าBTUที่เหมาะสม      การประเมินค่าCoolingLoadEstimationที่เหมาะสมกับแต่ละห้องมีดังต่อไปนี้ห้องนอน700-750BTU/ตารางเมตร,ห้องนั่งเล่น750-850BTU/ตารางเมตร,ห้องรับประทานอาหาร800-950BTU/ตารางเมตร,ห้องครัว900-1000BTU/ตารางเมตร,ห้องทำงาน800-900BTU/ตารางเมตรและห้องประชุม850-1000BTU/ตารางเมตร      ทั้งนี้สูตรคำนวณค่าBTUเหมาะสำหรับห้องที่มีเพดานไม่เกิน3เมตรหากความสูงมากกว่าและมีปัจจัยอื่นๆเช่นตำแหน่งของห้องทิศทางของแดดเครื่องใช้ไฟฟ้าและจำนวนผู้อาศัยจะต้องบวกค่าBTUเพิ่มขึ้นด้วย 3.เปิดแอร์พร้อมพัดลมทำให้เปลืองไฟมากกว่าจริงไหม     บางคนคิดว่าการเปิดพัดลมพร้อมกับแอร์ทำให้เปลืองไฟจริงๆแล้วเปิดแอร์ให้ประหยัดไฟควรเปิดพัดลมควบคู่กับการเปิดแอร์ไปด้วยจะทำให้ห้องเย็นขึ้นและช่วยประหยัดไฟได้ซึ่งมีทริกง่ายๆเริ่มจากปรับแอร์ไปที่25-27องศาเซลเซียสแล้วเปิดพัดลมไปพร้อมๆกันพัดลมก็จะช่วยกระจายลมเย็นให้ทั่วห้องและช่วยลดอุณหภูมิในห้องได้อีก1-2องศาเลยทีเดียว 4.เปิดแอร์อุณหภูมิต่ำจะช่วยให้ห้องเย็นเร็วขึ้น     หลายคนคงเคยปรับแอร์ให้มีอุณหภูมิต่ำเพราะอยากให้ห้องเย็นเร็วขึ้นซึ่งจริงๆแล้วทำให้สิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุเพราะไม่ว่าตั้งให้อุณหภูมิต่ำสักแค่ไหนก็ใช้เวลาในการทำความเย็นพอๆกันกับการตั้งอุณหภูมิปกติอยู่ดีทางที่ดีถ้าหากอยากให้ห้องเย็นเร็วขึ้นให้เร่งความเร็วพัดลมแอร์จะช่วยได้ดีกว่า 5.อุณหภูมิ25องศาช่วยประหยัดไฟได้มากที่สุด     แม้ว่าการตั้งอุณหภูมิ25องศาจะช่วยประหยัดไฟแต่ก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งเพราะจริงๆแล้วควรใส่ใจดูแลรักษาตัวเครื่องไปพร้อมกันโดยหมั่นตรวจเช็กระบบและทำความสะอาดเแอร์อย่างน้อยปีละ2ครั้งก็จะช่วยยืดอายุการใช้งานและทำให้ตัวเครื่องทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ 6.เปิด-ปิดแอร์บ่อยประหยัดไฟมากกว่า       ในความเป็นจริงการเปิดแอร์ค้างไว้หลายชั่วโมงติดต่อกันจะเปลืองไฟมากกว่าแต่การเปิด-ปิดแอร์บ่อยๆก็ส่งผลเสียกับตัวเครื่องไม่น้อยเลยทีเดียวเพราะการทำแบบนี้จะทำให้เครื่องทำงานหนักและอายุการใช้งานสั้นกว่าที่ควรจะเป็น       
เปิดดู:432
เเอร์เบอร์ห้าสามดาวดีอย่างไรประหยัดกว่าอย่างไร?    เครื่องใช้ไฟฟ้าในห้างสรรพสินค้าหรือตามร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไปคนขายมักแนะนำว่าให้ดูที่ฉลากประหยัดไฟเบอร์ห้าพร้อมทั้งดูค่าต่างๆที่ระบุโดยฉลากดังกล่าวนี้เป็นของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยหรือกฟผ.ที่ทำสัญลักษณ์ออกมาเพื่อให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์จากการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าไปใช้งานมากที่สุดโดยกว่า30ชนิดจะถูกติดสติ๊กเกอร์รับรองไว้ว่าประหยัดไฟจริง    แต่เมื่อมีการพัฒนามากขึ้นเรื่อยๆในเวลานี้เพียงแค่ฉลากประหยัดไฟเบอร์ห้าอาจไม่เพียงพอเพราะได้มีการพัฒนาจากฉลากประหยัดไฟเบอร์ห้าให้กลายเป็นฉลากประหยัดไฟเบอร์ห้าแบบใหม่พร้อมออกสู่ตลาดเป็นที่เรียบร้อยเมื่อวันที่1มกราคม2562ซึ่งฉลากใหม่ที่ว่านี้จะเป็นการบอกค่าของการประหยัดพลังงานที่มีประสิทธิภาพมากกว่าแบบแรกเรียกว่าบอกได้ละเอียดกว่าเก่าโดยฉลากใหม่ที่ว่าจะบอกความละเอียดได้ถึง4อันดับประกอบไปด้วยเบอร์ห้า,เบอร์ห้าหนึ่งดาว,เบอร์ห้าสองดาวและเบอร์ห้าสามดาวสังเกตง่ายๆคือยิ่งมีดาวเพิ่มมากขึ้นก็หมายความว่าเครื่องใช้ไฟฟ้านั้นประหยัดไฟได้มากขึ้น     แล้วการเลือกซื้อแอร์หากเลือกซื้อรุ่นที่มีฉลากเบอร์ห้าสามดาวดีอย่างไร?แน่นอนว่าการเลือกฉลากแบบนี้จะช่วยในเรื่องของการประหยัดค่าไฟเพิ่มมากขึ้นแบบไม่ต้องสงสัยเลยยิ่งจำนวนดาวมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งช่วยประหยัดค่าไฟได้มากเท่านั้นซึ่งหากยังมีข้อสงสัยว่าประหยัดไฟได้มากน้อยแค่ไหนก็จะขอยกตัวอย่างการเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศที่มีระดับดาวต่างกันมาเป็นตัวอย่างให้เห็นภาพได้ชัดเจนมากขึ้น     ยกตัวอย่างการใช้งานแอร์ชื่อดังรุ่นหนึ่งขนาด20,000BTUระหว่างรุ่นประหยัดไฟเบอร์ห้าธรรมดากับประหยัดไฟเบอร์ห้าสามดาวจะมีค่าSEERที่แตกต่างกันโดยรุ่นเบอร์ห้าทั่วไปมีค่าSEERอยู่ที่23.07ขณะที่รุ่นเบอร์ห้าสามดาวค่าSEERอยู่ที่23.41นั่นแสดงให้เห็นชัดเจนว่ารุ่นเบอร์ห้าสามดาวประหยัดไฟมากกว่าหลายเท่าเนื่องจากยิ่งค่าSEERเยอะเท่าไหร่ก็จะช่วยประหยัดพลังงานได้มากเท่านั้นทั้งนี้ขออธิบายค่าSEERให้เข้าใจกันก่อนค่านี้คือต้องแยกคำออกก่อนโดยEERมาจากคำว่า EnergyEfficiencyRatioหมายถึงค่าซึ่งได้มาจากการทดสอบการทำงานของเครื่องปรับอากาศยี่ห้อและรุ่นดังกล่าวกระนั้นคำดังกล่าวก็มีข้อจำกัดบางประการเนื่องจากเมื่อมีการนำมาใช้จริงทั้งสภาพอากาศ,ฤดูกาลมันต่างกันออกไปส่งผลให้ประสิทธิภาพจริงๆที่เกิดขึ้นย่อมต่างกันไปด้วยเมื่อเป็นเช่นนี้จึงเกิดการเพิ่มตัวSที่มาจากคำว่าSeasonalเข้าไปด้วยเมื่อรวมกันแล้วSEERก็มาจากคำว่าSeasonalEnergyEfficiencyRatioหมายถึงค่าวัดประสิทธิภาพเกี่ยวกับการใช้พลังงานของแอร์ที่ถูกวัดตามฤดูกาลอีกตัวอย่างสมมุติว่าเลือกใช้เครื่องปรับอากาศระบบอินเวอร์เตอร์ขนาด12,000BTUฉลากเบอร์ห้าสามดาวมีการเปิดใช้ทุกวันๆละ8ชั่วโมงเปรียบเทียบกับเครื่องปรับอากาศแบบเดียวกันแต่อยู่ภายใต้ฉลากเบอร์ห้าเปิดจำนวนเท่ากันจะมีส่วนต่างเรื่องของค่าไฟที่ถูกกว่าถึง260บาทต่อเดือนโดยประมาณ การเลือกแอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงจะยิ่งช่วยให้เราประหยัดค่าใช้จ่ายต่างๆอย่างน้อยๆการลดภาระบางประการเช่นการลดค่าไฟฟ้าลงก็จะช่วยให้มีเงินในกระเป๋าเอาไว้ใช้จ่ายสิ่งอื่นที่มีความจำเป็นได้มากกว่าเดิมการเลือกสินค้าที่มีฉลากเบอร์ห้าสามดาวไม่เฉพาะเพียงแต่แอร์เท่านั้นแต่ยังรวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทอื่นด้วย 
เปิดดู:526
ตรวจทานสัญญา
เริ่มต้น 229 บาท
ตรวจทาน+แก้ไข
เริ่มต้น 399 บาท